ภูมิภาค
สลด!เด็กชายฝาแฝด เล่นน้ำคลายร้อนดับคู่
วันศุกร์ ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2565, 19.48 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
สุดสลด 2 เด็กชายฝาแฝด เล่นน้ำคลายร้อน จมน้ำดับ ทหารเรือลงงมพบศพพบมือจับกันจมน้ำดับ ก่อนพ่อแม่มาถึงร้องไห้เป็นลมล้มฟุบปริ่มขาดใจ วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดป้ายเตือนอันตราย
วันนี้ (22 เม.ย.65) เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.45 น.พลเมืองดี ได้รับโทรศัพท์แจ้งเหตุ ไปยังสถานีตำรวจ สภ.ดม อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ว่า ได้เกิดเหตุเด็กชายฝาแฝด อายุ 13 ปี 2 คน จมน้ำภายในเขื่อนห้วยขนาดมอญ บ.ขยอง ต.ตาตุม อ.สังขะ จ.สุรินทร์ หลังจากนั้น พ.ต.อ.สุทิน จันทน์แดง ผกก.สภ.ดม พร้อมรอง สวป.สภ.ดม และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดม ได้ประสานหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ให้เข้ามาช่วยเหลือยังที่เกิดเหตุอย่างเร่งด่วน และระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลืออยู่นั้น ชาวบ้านในหมู่บ้านขยอง ได้ทราบข่าว พร้อมได้แจ้งให้กับ จ่าโท ศักดิ์สิทธิ์ วงศ์ฉลาด เจ้าหน้าที่ทหารเรือ กองพันทหารราบที่ 6 กองทัพเรือ ปฏิบัติราชการในพื้นที่ จ.ตราด ซึ่งลาพักราชการมาที่บ้านเกิดพอดี พร้อมกับเพื่อน 2 คน รีบรุดมายังที่เกิดเหตุ และดำลงไปในน้ำบริเวณที่ร่างเด็กชายฝาแฝดจมน้ำหายไปทันที ด้วยน้ำที่มีความลึกมาก ทำให้จ่าโท ศักดิ์สิทธิ์ วงศ์ฉลาด ต้องขึ้นมาบนฝั่งอีกครั้ง เนื่องจากปวดแก้วหูจากน้ำที่มีความลึก ก่อนจะใช้ลำไม้ไผ่ทิ่มลงไปในน้ำเพื่อตรวจสอบหาร่างเด็กทั้ง 2 คน ก่อนจะพบและดำลงไปในน้ำอีกครั้ง พร้อมได้ดึงร่างเด็กทั้ง 2 คนขึ้นมาเพื่อเร่งช่วยชีวิต แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะเวลาได้ผ่านมานานกว่าครึ่งชั่วโมง ทำให้เด็กเสียชีวิตไปก่อน
ทราบชื่อเด็กชายฝาแฝดทั้ง 2 คน คือ ด.ช.วิชิต กลิ่นจับจีบ และ ด.ช.วิชัย กลิ่นจับจีบ เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านโจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ก่อนที่ญาติพี่น้องที่มาด้วยกันจะได้แจ้งให้กับนางพ่อแม่ของเด็กชายฝาแฝดทราบ คือ นายนิยม กลิ่นจับจีบ บิดา และนางสุรภา นันทา มารดา ของผู้เสียชีวิต ซึ่งขณะที่พ่อแม่ของเด็กชายฝาแฝดที่เสียชีวิตเดินทางมาถึง ถึงกับร้องไห้เป็นลมล้มฟุบปริ่มจะขาดใจกับภาพร่างของศพเด็กชายฝาแฝดที่นอนไร้วิญญาณอยู่ตรงหน้าถึง 2 ศพ หลังจากเจ้าหน้าที่ได้นำศพขึ้นมาไว้บนบกแล้ว เป็นภาพที่น่าสงสารและน่าเวทนายิ่งนัก
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า บริเวณดังกล่าว น่าจะเป็นแอ่งลึกที่รถแบ็คโฮขุดไว้ เด็กๆอาจมองไม่เห็นว่ามีแอ่งลึก เพราะข้างๆน้ำตื้น และอาจพลัดตกแอ่งลงไปโดยไม่ทันตั้งตัวพร้อมๆกัน ก่อนจมน้ำเสียชีวิตดังกล่าว ซึ่งจะได้ประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำป้ายเตือนมาติดเตือนภัยให้กับประชาชนทราบ เพราะช่วงนี้อากาศร้อน มักจะพบประชาชนพาครอบครัวมาลงเล่นน้ำที่เขื่อนห้วยขนาดมอญอยู่บ่อยๆ จากนั้นแพทย์เวรจาก รพ.สังขะ ได้เข้ามาตรวจชันสูตรพลิกศพ ก่อนมอบศพให้ครอบครัวนำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
นางสาวกนกวรรณ บุญแต่ง อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 191 ม.2 บ.โจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิงฯซึ่งเป็นน้าและเป็นเพื่อนบ้านตรงข้ามกัน กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า ตนได้พาเด็กๆไปใส่ปุ๋ยต้นมันสำปะหลังที่สวน รวมทั้งหมด 5 คน หลังใส่ปุ๋ยมันเสร็จก็พากันขึ้นรถกระบะกลับและแวะมาทานข้าวที่ริมเขื่อน ระหว่างนั้นไม่ทันได้มองเด็กๆที่มาถึงก็รีบพากันวิ่งลงไปเล่นน้ำ ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวด้วย ตนกำลังเตรียมพื้นที่เพื่อทานข้าวกัน ไม่นานก็เห็นเด็กอีกคนที่มาด้วยกันตะโกนว่าเด็กชายฝาแฝดจมลงไปในน้ำแล้ว ตนทำอะไรไม่ถูกจึงเรียกให้ชาวบ้านแถวนั้นช่วย แต่ก็ไม่มีใครกล้าดำลงไปในน้ำเพราะน้ำลึกมาก จึงได้รับประสานหน่วยกู้ภัยและตำรวจ และมีชาวบ้านมาช่วยกันงมร่างของเด็กทั้ง 2 คนขึ้นมา ตนเองรู้สึกเสียใจกับครอบครัวของเด็กทั้ง 2 คนเป็นอย่างมาก เหมือนกับตนเองพาพวกเขามาตาย
ด้าน จ่าโท ศักดิ์สิทธิ์ วงศ์ฉลาด เจ้าหน้าที่ทหารเรือ กองพันทหารราบที่ 6 กองทัพเรือ ปฏิบัติราชการในพื้นที่ จ.ตราด กล่าวว่า ตอนแรกตนอยู่ในหมู่บ้านขยอง ทราบจากเพื่อนว่าหลานของเพื่อนจมน้ำให้เข้าไปช่วย ตนเป็นทหารเรือก็ดำน้ำได้ และเคยเป็นกู้ภัยมาก่อน จึงรีบพาเพื่อนมาช่วย ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีถึงสามารถนำร่างน้องขึ้นมาได้ แต่น่าจะจมเสียชีวิตก่อนที่ตนเองมาถึงสักพักหนึ่งแล้ว ทีแรกดำลงไปหาไม่เจอ รู้สึกปวดหูเพราะน้ำลึกเกิน บริเวณนั้นเป็นแอ่งลึกที่รถแบ็คโฮน่าจะขุดดินไปถมบริเวณอื่น จึงหาไม้มาแทงตรวจสอบดูเจอวัตถุ จึงคิดว่าน่าจะใช่ร่างน้อง จึงพากันลงงมอีกครั้งกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นทหารพรานและเจ้าหน้าที่ ตชด.ที่มาด้วย ซึ่งก็พบศพน้องอยู่ติดกัน มือจับกันไว้ด้วย
นางทองบอน จารัตน์ ชาวบ้านตรำดม ต.ตรำดม อ.ลำดวน จ.สุรินทร์ ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า หลังรถกระบะกลุ่มของผู้ตายมาถึง ก็เห็นเด็กๆพากันรีบลงจากกระบะและวิ่งลงไปในน้ำ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเด็กอีกคนร้องให้ช่วยเหลือ ก็ไม่มีใครกล้าลงไปช่วยเพราะน้ำบริเวณดังกล่าวลึกมาก ก่อนจะมีคนมาช่วยงมร่างน้องดังกล่าว
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่